รบเป็นรบ! เขมรตั้งใจรุกไทยในเขตที่ชัดเจนแล้ว! กฎหมาย ชัด “คดีใหม่” ไม่เกี่ยวปราสาทพระวิหาร ศาลโลกไม่เกี่ยว


ผมขอรายงานตัว อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตประธานกรรมาธิการกิจการชายแดนไทย สภาผู้แทนราษฎร ขอเคลียร์ประเด็นชัดๆ ว่า


1. ปราสาทตาเมือนธม เป็นของไทย 100%

ไทย-กัมพูชา มีการตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา ( jbc) เพื่อปักปันเขตแดนที่เป็น “พื้นที่พิพาท”แม้จะทำงานปักปันไปได้น้อย มีพื้นพิพาทที่เคลียร์สำเร็จไปยังไม่ถึงครึ่ง แต่ในส่วนของ “ปราสาทตาเมือนธม” อยู่ในพื้นที่ส่วนน้อยที่ทำสำเร็จและเป็นพื้นที่ชัดเจนไปแล้ว (โดยกรมศิลปากรขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2478) กัมพูชารู้ดี...แต่ยังหาเรื่องเช่นเหตุการณ์ขึ้นมาร้องเพลงชาติบนปราสาทถึง 2 ครั้ง (18 ต.ค.67 กับ 13 ก.พ.68 ) โดยหนึ่งในครั้งนั้น มีผู้บังคับบัญชาทหารกัมพูชานำคนกัมพูชาขึ้นมาเอง จนมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ไทยที่ดูแลพื้นที่ โดยอ้างสิทธิ์ว่าเป็นของตน ทั้งสองเหตุการณ์เกิดต่อเนื่องในห้วงเวลาใกล้กัน มันเป็นความตั้งใจ


2. กัมพูชาลุกล้ำแผ่นดินไทย เป็นคดีใหม่ ไม่เกี่ยวเรื่องเก่าคดีปราสาทพระวิหาร ศาลโลกไม่เกี่ยว


ฉนวนปะทะรอบนี้ เกิดจากการขุด “สนามเพลาะ” หลุมที่ทหารใช้บังยามสงคราม ยาวราว 650 เมตร โดยทหารกัมพูชาในบริเวณ “ช่องบก” จ.อุบลราชธานี ถือเป็นการล้ำเข้ามาในดินแดนไทยลึกกว่าพื้นที่พิพาทด้วย


ทั้งสองกรณีชี้ชัดว่าเขมรตั้งใจรุกล้ำเขตอธิปไตยไทย “ถ้าต้องรบ เราก็รบเพื่อปกป้องดินแดนของเราที่ชัดเจนอยู่แล้ว เราไม่ได้รบเพื่อแย่งชิงดินแดนที่พิพาท” โดยแนวที่พิพาทเราได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของคณะกรรมาธิการ jbc ทุกประการอยู่แล้ว


เรื่องขึ้นศาลโลก “ไทยไม่รับอำนาจศาลโลกหรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ในเรื่องคดีใหม่ ตั้งแต่ปี2503 คือถ้าขึ้นศาลกันมันต้องเป็นเรื่องตีความในคดีปราสาทพระวิหาร เรื่องเดิมเท่านั้น กัมพูชารุกรานไทยคราวนี้ เป็นคดีใหม่ เป็นพื้นที่ที่ชัดเจนอยู่แต่เดิม ไม่ใช่พื้นที่พิพาทเดิม


งานนี้กัมพูชาตั้งใจมั่ว หัวหมอ คุยไม่รู้เรื่อง ไทยต้องเด็ดขาด รบเป็นรบ!


#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด